Elon หาทางทำเงินบน Twitter

Elon musk เสนอแบบนี้หลังจากเข้าซื้อ Twitter

ยังคงให้ความคิดเห็นอย่างต่อเนื่องสำหรับเจ้าพ่อทวิตเตอร์รายล่าสุด โดยจากทวิตเก่าที่ถามโพลเกี่ยวกับปุ่ม edit tweet ล่าสุดเสนอว่าใครที่สมัคร Twitter Blue (ยกตัวอย่างจ่าย 3$ ต่อเดือน) จะได้เครื่องหมายยืนยันความเป็นตัวตน คล้ายๆสัญลักษณ์สีฟ้าเครื่องหมายถูกที่ทวิตเตอร์จะให้กับบัญชีที่เป็นบุคคลสาธารณะและยืนยันตัวตนแล้ว 

ทำอะไรได้บ้างถ้าจ่ายเงิน Twitter

Elon ก็แสดงไอเดียในทวีตของเค้าเพิ่มเติมโดยที่อาจจะมีเวลาปรับแต่งถึง 20ครั้ง สำหรับฟีเจอร์ของบัญชีจ่ายเงินชนิดนี้ 

และไม่มีโฆษณามากวนใจ และยังกล่าวเพิ่มเติมว่าถ้าทำเช่นนี้ บริษัทจะมีการให้บริการกำหนดนโยบายบริษัทได้ดียิ่งขึ้นถ้าทวิตเตอร์ยังคงพึ่งพาเพียงเงินจากค่าโฆษณาเพื่อให้อยู่รอด

ยังคงเป็นเพียงแค่ความคิดเห็น

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงเจ้าของความคิดเห็นเพียงคนเดียว แต่แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องออกไปอย่างแน่นอน เนื่องจากอีลอนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท และเมื่อเค้าต้องการอะไร เค้าก็จะหาทางทำให้มันเกิดขึ้นจริงให้ได้ โดยการจ่ายเงินเพื่อใช้บริการนี้อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ ต้องมีหลายฝ่ายมาร่วมตัดสินใจ และต้องถามความคิดเห็นจากผู้ใช้งานด้วยว่า จะยอมจ่ายเงินจำนวนนี้ อาจจะไม่มากสำหรับผู้ใช้ที่มีเงินอยู่แล้ว แต่เดือนละประมาณ 100กว่าบาท อาจทำให้ผู้ใช้วัยรุ่นเปิดแพทซ์ฟอร์มไปใช้บริการอื่นๆที่ฟรี ได้ด้วยเช่นกัน

ส่งเงินทั่วโลกผ่าน bitcoin ถูกแสนถูก

อีกหนึ่งทางเลือกในการรับส่งเงินต่างประเทศ

หรือนี่จะเป็นตัวเลือกใหม่แทนที่ระบบเดิมที่ให้บริการรับโอนเงินต่างประเทศผ่านธนาคารโดยใช้ระบบที่เรียกว่า SWIFT ซึ่งใช้เวลายืนยันธุรกรรม 2-3วัน แต่ด้วยเทคโนโลยีบล็อคเชนบน bitcoin จะช่วยให้การรับส่งเงินทำได้แทบจะทันที และที่สำคัญค่าธรรมเนียมถูกแสนถูก จนอาจจะฟรีเลย

Lightning Labs

บริษัท start up Lightning Labs ได้ประกาศออกมาว่าพวกเค้าได้เริ่มเครือข่ายที่เรียกว่า Taro protocal เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกำหนดเส้นทางการเงิน fiat-pegged stablecoins และสินทรัพย์อื่นๆ โดยใช้สถาปัตยกรรมของ bitcoin 

เครือข่าย Taro ใช้ Lighting บิทคอยที่สร้างบนพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อคเชนนี้เป็น layer 2 เพื่อรอบรับปริมาณการทำธุรกรรมที่มีขนาดมหาศาล ค่าธรรมเนียมต่ำ และมีความปลอดภัย

“มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนไม่รู้จริงๆ ว่าระบบบัตรเครดิตทำงานอย่างไร – และมันใช้งานได้จริง” Elizabeth Stark ซีอีโอของ Lightning Labs กล่าวกับ CNBC

โดยทั่วไปแล้ว แพลตฟอร์มการชำระเงิน ‘เลเยอร์สอง’ นี้จะทำให้การใช้จ่ายและรับ bitcoin ง่ายขึ้น แต่ Lightning Labs ได้ตัดสินใจขยายกรณีการใช้งานของเทคโนโลยีนี้ไปยังเงินสดเสมือนประเภทอื่นๆ

ทำงานอย่างไร

ให้เรานึกถึงบิทคอยน์ที่สามารถรับส่งเหรียญกันได้ทั่วโลก มีความรวดเร็วและความปลอดภัย แต่ณปัจจุบันราคาของเหรียญยังไม่มีความเสถียร ที่จะเหมาะมาเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยผู้คนยอมรับได้ทั่วไป แต่เทคโนโลยีบล็อคเชนนี้ พิสูจน์แล้วว่ามีความปลอดภัย ยังไม่เคยถูกแฮคระบบได้

แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านค่าธรรมเนียมที่สูงและถ้ามีการทำธุรกรรมจำนวนมาก จะทำให้การรับส่งนั้นช้าไป ถ้าอยากรับไว้ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้นมา จึงมีนักพัฒนาสร้างเครือข่าย lighting ขึ้นมาทำงานเป็น layer 2 ของบิทคอยอีกที โดยที่ปัจจัยสำคัญของเครือข่ายนี้ บน Lightning Network ผู้เข้าร่วมทุกคนในเครือข่ายไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย โหนดจะตรวจสอบเฉพาะธุรกรรมที่มีการโต้ตอบโดยตรงเท่านั้นและสามารถทำธุรกรรมหลายแสนรายการต่อวินาทีบน Lightning

และ lighting lab ได้ประกาศว่าเครือข่าย Taro นี้จะนำเอาเทคโนโลยี Lightning network มาใช้สำหรับเงิน fait , stablecoin และเหรียญอื่นๆ ซึ่งเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับโลกเทคโนโลยีและการเงิน

Lightning Labs ซึ่งประกาศด้วยว่าได้ระดมทุน 70 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุน Series B นำโดย Valor Equity Partners ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนของ Tesla และ SpaceX ในช่วงต้นกล่าวว่ากำลังเปิดตัวข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับโปรโตคอล Taro เพื่อให้สามารถรวมข้อเสนอแนะจากนักพัฒนา

อีลอนโพสแบบนี้ ยังไงซิ

Elon musk โพสแรกหลังเข้าซื้อหุ้น Twitter

หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Twitter ด้วยจำนวนหุ้นถึง 9.2% ซึ่งมีหุ้นมากกว่า Jack Dorsey ที่เป็นผู้ก่อตั้ง twitter ถึง 4เท่า ก็ได้โพสเป็นโพลสอบถามความคิดเห็นว่า พวกเราต้องการมีปุ่ม edit ข้อความหรือไม่ โดยที่ในขณะนี้มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามว่าต้องการถึงร้อยละ 70 

ต้องการเป็นเจ้าของโซเซียลมีเดีย

ก่อนหน้านี้ Elon ก็ได้สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์มาหลายๆครั้ง หนึ่งในนั้นคือเค้าแสดงความต้องการที่อยากเป็นเจ้าของแพทฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ และวิพากษ์วิจารณ์ Twitter ว่าไม่มีความเป็นเสรี ปิดกั้นในการสื่อสาร ไม่น่าเชื่อเลยว่าเค้าแก้ปัญหาด้วยวิถีแบบคนรวย ก็คือใช้เงินแก้ปัญหา ซื้อมันซะเลย แต่นักวิเคราะห์หลายท่านยังไม่ฟันธงว่าอีลอน จะเข้าไปกำกับในบอร์ดบริหารภายในปีนี้หรือไม่ เนื่องจากเค้ายังไม่ยื่นรายการเข้าไป

เซเลปร่วมแสดงความคิดเห็น

CZ ก็ได้มาตอบทวีตของอีลอนเกี่ยวกับปุ่มแก้ไข ทวีตว่า ฉันคิดว่าปัญหาสำคัญเร่งด่วนคือการจัดการ สแปมมากกว่านะ และผู้ใช้งานอีกรายก็ให้ความคิดเห็นว่า ควรที่จะแบ่งเป็น 2 อย่างนะ อย่างแรกคือควรแก้ไขได้ภายใน 5-10 นาที เพื่อที่จะให้เจ้าของโพสแก้ไขส่วนที่ผิดพลาดได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อความที่ถูกทวีตออกไปแล้วกลายเป็นสาธารณะไป เป็นต้น

เวบโค้ดอันดับ 1 โดนแฮค?

โดนเล่นซะแล้ว สาย Dev

สำหรับเหล่าบรรดานักพัฒนาแอพ เวบไซต์ เกมส์ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการโค้ดดิ้งทั้งหลายไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ก็ต้องรู้จักเวบ stackoverflow ที่เหล่าบรรดานักพัฒนาจะเข้ามาถาม ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับสายงานนี้ทั้งนั้น ถ้าใครเข้าเวบวันนี้คือ 1 เมษายน 2565 ก็จำเป็นที่แปลกใจ นึกว่าเวบเจ้าพ่ออันดับ 1 โดนแฮคไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่…….

โดนแกงจ้า

ทางเวบไซต์ได้ประกาศทางบล็อคแบบเท่ห์ว่า Hello fellow coders เราหันมาใช้ filter ให้กับเวบเพื่อความคลูๆหน่อย ไหนๆพวกเราก็ชอบใช้เอาไว้แชร์รูปบนพวก social media ที่ติดฟิลเตอร์ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้หละ มาจอยกันเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เลย 

8 Filter คลูๆ

โดยที่ทางเวบจะมี filter ให้เลือกในการปรับเปลี่ยนหน้าตาของเวบ โดยมีทั้งแบบภาพลาย 3มิติ ภาพแนวหนังแม็ททริกซ์ ภาพลับสุดยอด ฟิลเตอร์แบบสายรุ้ง แบบบล็อคโพส แบบ Hot dog หรือแบบวินโดส์ยุคเก่า เป็นต้น เรียกได้ว่า ไม่สวยก็ปวดตาไปกันขั้นสุดเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องตกใจไปยังใจดีมีปุ่มให้เลือกไม่ใส่ filter ได้อยู่ คงไม่ไหวแน่ถ้าต้องมานั่งอ่านภาษาโค้ดที่เป็นอังกฤษ ไหนจะต้องมาแปลอยู่แล้ว ยังมานั่งตาลายกับตัวหนังสือไม่ชัด หรือสีที่เจ็บตาอีก เหล่าโปรแกรมเมอร์ได้มีการแขวนคอตายกันไปครึ่งโลกพอดี 

binance เปิดตัวบริจด์ตัวเชื่อมโอนเหรียญ

Binance Bridge 2.0 มาแล้ว

ไบแนนซ์เปิดตัวแล้ววิธีใหม่ในการโอนเหรียญทั้งที่เหรียญไม่ได้ถูกลิสต์และลิสต์บนเครือข่าย ethereum และ bnb smart chain โดยเหรียญโทเคนจะถูกหุ้มด้วยระบบนิเวศของ bnb chain ให้คุณได้ท่องไปในโลกของ defi บล็อคเชน เกมส์ เมต้าเวิรส์และอื่นๆ

รื้อโครงการเก่ามาเปลี่ยนโฉมใหม่

โดยไบแนนซ์ได้รื้อโครงการที่เคยเลิกใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ มาพัฒนาขึ้นใหม่ ปรับโฉมใหม่ให้การเชื่อมโยงเครือข่ายอีเทอเรียมและ bnb smart chain ทำให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยพื้นฐานแล้ว Binance bridge สนับสนุนเพียงแค่เหรียญที่ถูกขึ้นระบบบน Binance.com เท่านั้น แต่เวอร์ชั่น 2.0นั้นสามารถรองรับเหรียญมากขึ้นโดยเป็นเหรียญที่ยังไม่ถูกลิสต์ขึ้นระบบด้วย โดยที่เหรียญเหล่านี้จะถูกหุ้มบน Bnb smart chain เป็นสกุล BTokens เป็นต้น

Update chain ครั้งใหญ่

การอัพเดทครั้งสำคัญนี้จะช่วยให้คุณทำรายการผ่านบัญชีไบแนนซ์ได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องไปสร้างกระเป๋าดิจิตอลจากภายนอกเลย เหรียญที่ขึ้นระบบแล้วจะถูกส่งตรงเข้าบัญชี spot wallet ขณะที่เหรียญอื่นๆที่ไม่ถูกลิสต์จะไปเก็บไว้ที่ กระเป๋าส่วนตัว self-custody wallet (SCW) ภายในแอพของไบแนนซ์ ซึ่งถ้าคุณยังไมมีตัว SCW นี้ แอพ Binance จะช่วยแนะนำในการตั้งค่า จุดประสงค์ที่สำคัญนี้จะช่วยให้คุณเก็บกุญแจส่วนตัว private key ได้เอง

อ้างอิง 1 ต่อ 1

โดยทางไบแนนซ์ได้แจ้งในโพสของทางเวบไซต์ว่า คุณจะสามารถโอนเหรียญประเภท ECR20 มา BEP20 ได้ทันทีสามารถที่จะฝากไว้บนระบบ bnb smart chain และระบบ Defi รองรับ ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าสับเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมที่สูงเกิน หรือเวลาในการโอนที่ยาวนานอีกต่อไป โดยที่เหรียญ BTokens จะตรึงราคาในเรท 1:1 โดยที่สามารถเปลี่ยนกลับไปเครือข่ายเดิมได้ตลอดเวลา 

จะโดนแฮกหรือไม่?

แต่เนื่องจากข่าวการแฮคในช่วงนี้บนเครือข่าย Ronin ที่สร้างความเสียหายไปมากกว่า 600ล้านเหรียญ การเปิดตัว Bridge ในช่วงนี้ของ BNB นั้นจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานได้หรือไม่ เพราะเหล่าแฮคเกอร์อาจจะใช้ช่องว่างนี้ในการโจมตีเครือข่าย ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าที่ไบแนนซ์อ้างว่ามีความปลอดภัยสูงเป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือจะเป็นอย่างไรต่อไป 

ที่มา : binance.com

เกมส์ Axie โดนแฮกสูญเงินมากกว่า $600 ล้านเหรียญ

AXIE โดนแฮกมากกว่า 600$ Million

แฮกเกอร์ได้ทำการโจรกรรมเหรียญดิจิตอลมูลค่ามากกว่า 600ล้านเหรียญสหรัฐโดยทำการแฮกบนเครือข่าย โรนิน ที่สนับสนุนเกมส์ชื่อดังอย่าง Axie infinity 

เครือข่ายโรนินเป็นสะพานในการเชื่อมต่อเกมส์ axie กับ บล็อคเชนเทคโนโลยี มีความสพคัญในการโอนเข้าออกเหรียญคริปโต

RONIN CHAIN

เครือข่ายโรนินเป็นบล็อคเชนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ทำงานร่วมกับเครือข่าย ethereum ได้โดยผู้พัฒนาคือ Sky mavis ผู้สร้างเกมส์​ AXIE ซึ่งมีผู้ร่วมก่อตั้งคือ Jeff Zirlin
การแฮคครั้งนี้ได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในแอคเคาท์บน twitter และในงานประชุม NFT LA conference

ยอมรับว่าโดนแฮกจริง

เราขอประกาศว่าเครือข่าย Ronin ได้ถูกแฮกไปได้เหรียญ 173000 ether และราวๆ 25ล้านเหรียญ USDC ที่เป็นเหรียญstable coin”
นี่เป็นอีกครั้งนึงที่มีการแฮกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยขณะที่พวกเรากำลังพัฒนาระบบ เราเชื่อว่าในอนาคตโลกของ อินเตอร์เน็ตจะเปิดกว้างมากขึ้นและผู้ใช้งานจะเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง

โดยในประกาศบนโพสของบล็อคทางการเครือข่ายโรบิน ระบุว่าตอนนี้ระบบในการเปลี่ยนแปลงเหรียญระหว่าง Ethereum และ Ronin ได้ถูกระงับ และผู้เล่นที่เก็บเหรียญไว้ในโรนินจะยังไม่สามารถทำธุรกรรมได้ในขณะนี้

ทางเครือข่ายโรนินให้คำมั่นสัญญาว่าจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีเงินของผู้เล่นสูญหายไป โดยที่เหรียญที่ถูกขโมยไปส่วนใหญ่ยังอยู่ในกระเป๋าของแฮกเกอร์ เรากำลังทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ผู้เชียวชาญคริปโตและนักลงทุนเพื่อให้แน่ใจว่า เงินทุนของทุกคนจะได้คืนหรือมีการคืนเงินเกิดขึ้น 

ประวัติแฮกที่ผ่านมา

ปีที่แล้วมีกลุ่มแฮกเกอร์นิรนามได้ขโมยเหรียญดิจิตอลไปประมาณเกือบๆ 600 ล้านเหรียญดอลลาห์สหรัฐบนเครือข่าย Poly ซึ่งครั้งนั้นก็ถือว่าเป็นการแฮกครั้งใหญ่เช่นกัน ซึ่งกลุ่มแฮกเกอร์ก็ได้ทำการส่งเหรียญคืนให้ในภายหลัง

เกมส์ Axie Infinity ประสบความสำเร็จอย่างมากที่เป็นเกมส์บนเวบ 3.0ที่ให้ผู้เล่นเป็นเจ้าของ NFT แบบสัตว์เลี้ยงดิจิตอลที่เรียกว่า Axies ซึ่งเจ้าตัวสัตว์เลี้ยงนี้สามารถที่จะไปต่อสู้แข่งขันกับผู้เล่นคนอื่นได้และมีการ breed ขึ้นใหม่มาอีก ในปี 2021 ผู้สร้างเกมส์สามารถระดมทุนได้มากถึง 152$ ล้านเหรียญในรอบ serie B โดยได้ผู้ลงทุนที่มีชื่อเสียงในกลุ่มของ Andreessen Horowitz

 

ผลกระทบของการแฮกครั้งนี้

หลังจากที่มีข่าวการแฮกราคาเหรียญ AXS ซึ่งเป็นเหรียญเกมส์ Axie ก็ได้ตกลงมา 20% แต่มีการดีดตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ขณะนี้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ $65.74 โดยราคาสูงสุดที่เคยขึ้นไปคือ $73.78 ซึ่งเป็นราคาที่ลงไปไม่มากนักสำหรับข่าวการแฮกครั้งนี้

หรือนี่อาจเป็นสัญญาณที่ยังมีความเชื่อมันของตัวเกมส์ ในหมู่ผู้เล่นและนักลงทุน

วงการเกมส์ ระบบบล็อคเชนยังคงต้องต่อสู้กับระบบความปลอดภัย และความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานต่อไป และนี่ก็คือโจทย์ใหญ่ของนักพัฒนาที่จะหาทางปิดช่องโหว่นี้ต่อไป

“มันทำให้ฉันกังวล แต่ฉันชอบ” Conor Thacker กรรมการผู้จัดการของ Polker กล่าว “ยิ่งการหาประโยชน์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มากเท่าไหร่ อนาคตก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น”

ครั้งแรกกับเวบ 3.0

ความเป็นไปเป็นมาของเวบ 3.0

ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้ว่า เวบ3.0คืออะไร ต้องไปดูที่มาและวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเวบว่ามาจากอะไรก่อนที่จะมาเป็นเวบ 3.0

เวบ 1.0

เป็นเจเนเรอชั่นแรกของเวบเทคโนโลยี ยุคแรกที่เราเรียกว่า World wide web ที่เวบส่วนใหญ่เป็นแบบที่สื่อสารด้านเดียว ไม่มีการตอบโต้กลับ (static web) ใช้สำหรับประกาศ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร มีความเป็นส่วนกลาง ถูกควบคุมข้อมูล ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นของผู้ผลิตมากกว่าของผู้บริโภค

เวบ 2.0

เป็นยุคของเวบที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือมีการตอบโต้ของมูลระหว่างกัน มีการสร้างบทความ ข่าวสาร ข้อมูลจากฝึ่งผู้ใช้งาน มีการใช้สื่อโซเซียลออนไลน์ พูดคุยกันเอง ค้าขายออนไลน์ E-commerce โดยที่ เวบ2.0 จะถูกสร้างจากศูนย์บริหารด้วยองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการเซ็นเซอร์เนื้อหาข้อมูลต่างๆ จะเลือกที่จะเก็บข้อมูลไหนไว้ในฐานข้อมูล ยกตัวอย่างก็เช่นพวก facebook,twitter,wikipedia เป็นต้น ข้อจำกัดก็คือการเก็บข้อมูลไว้ที่ศูนย์กลางและอาจมีการปิดกั้นการเข้าถึงถึงข้อมูลหรือเลือกที่จะให้หรือไม่แสดงข้อมูลบางอย่าง สำหรับบางคน บางกลุ่มเท่านั้น

เวบ 3.0

เวบ3.0หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เวบ3นั้นเป็นการวิวัฒจากยุค world wilde web มาใช้ร่วมกับระบบบล็อคเชนเทคโนโลยี ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไร้ศูนย์กลาง Decentralized ecosystem ที่ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลจากศูนย์กลาง ถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้นไปอีกก็คือนำเวบ 2.0ปัจจุบันทั้งโซเซียลมีเดีย เวบขายของออนไลน์ การค้นหา search engines เวบสตรีมมิ่งวิดีโอ และอื่นๆ มาพัฒนาต่อโดยใช้บล็อคเชนเทคโนโลยี เพื่อป้องกันการถูกจำกัดการเข้าถึง uncensorable และการใช้สกุลเงินดิจิตอลเข้ามาใช้ร่วมในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือบริการต่างๆ รวมทั้งการสร้างรายได้จากการใช้บริการอีกด้วย โดยในทางทฤษฎีแล้วเวบ 3.0จะอนุญาติให้ผู้ใช้สามารถควบคุมจัดการสื่อดิจิตอล (digital content) ด้วยระบบโครงสร้างไร้ศูนย์ ยกระดับการทำธุรกรรมและการอนุญาตจากศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาว่าผู้ใช้งานจะสร้างรายได้จากการเผยแพร่สื่อหรือข้อมูล หรือความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดิจิตัล (NFT) เป็นต้น

สรุปต้องทำ เวบ3.0 ไหม

จะเห็นได้ว่าข้อดีในปัจจุบันส่วนใหญ่ของเวบ 3.0 คือการป้องกันเข้าถูกเซนเซอร์ การเข้าถึงที่ถูกปิดกั้นจากทางการ ภาครัฐ ถ้าเวบของคุณคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องทำ ก็สามารถใช้แบบเดิมได้อยู่แล้ว แต่เทรนในอนาคตเรื่องการเป็นส่วนตัว การทำรายได้ทั้งในบล็อคเชน NFT การการันตีความถูกต้องโดยใช้ชุมชนในการตัดสิน ก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น ฉนั้นไม่ควรที่จะละเลยศึกษาหรือพัฒนาต่อไป คนที่หยุดนิ่งต่อเทคโนโลยีจะกลายเป็นคนที่ตกยุคและล้าหลังกว่าใคร ยิ่งในวงการธุรกิจแล้ว ถ้าเป็นผู้นำจะได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง

web3.0

Know the history

Web 1.0
The first generation of Web 1.0-era websites was limited to passively viewing the content, like a read-only document/page.

This is typically identified as the internet (1991 and 2004) that consisted of static content websites in text or image format without much interactivity.

Web 2.0
Web2.0

is commonly identified as the interactive and social web.

While the previous version of the internet was mainly populated by developers who were the leading players in creating content, Web2 typically consists of applications conceived to allow anyone to be a creator easily.

User-generated content, ease of use, interactive culture, direct user participation, and interoperability (compatibility with other products, systems, and devices) for end-users are the main features of Web2.

For the first time, anyone could create any type of content, upload a video or photos, write and publish books, comment on people’s posts and allow millions of people to see it. Social media networks were born and will remain protagonists of the world wide web for years to come.

Innovative user-friendly experiences allow a new way of communicating. Businesses that provide information and communication platform started to flourish in exchange for consumers’ personal data. YouTube, Facebook, and Twitter are only a few of the most popular and successful companies of the Web2 era.

The dynamic web with more social and cooperative interaction was welcomed everywhere on the Earth. It came with a trade-off though, the supply of personal and confidential data in exchange for direct participation in the network.

What is Web3.0?

Web3.0 is regarded as the next-generation internet, where everything that could be done in Web2 can still be done but in a decentralized manner.

We’ve highlighted Web2 centralization issues that might jeopardize the authenticity of systems and pose a risk to data security and consumers’ privacy.

Web3 is supposed to resolve these issues through blockchain and its decentralization.
Platforms like Ethereum are built to overcome user privacy and data breaches through their trustless, open, permissionless attributes and users following the same rules applied by a consensus protocol.
Ethereum is currently the most popular platform for DApps, the blockchain decentralized applications that should be replacing the Web2 apps we are still using today.
A significant role in Web3 will be played by NFTs and the metaverse on blockchain platforms.
Web3’s decentralization is also reflected in the way developers build applications. Instead of building apps on a single server and storing data in a single database (usually a cloud provider), developers use blockchain technology through decentralized networks of several peer-to-peer nodes (servers).

Users would typically pay to access the protocol like they would pay to use a cloud provider like AWS today. Except in web3, the money is distributed among the network participants.

Decentralization is Web3’s most important innovation.

Meaning of Metaverse

As of now, metaverse refers to a hypothetical proposed version of the internet. However, the concept is not too far from practical fruition. It aims to allow users to access permanent online 3D virtual worlds using not just headgear made specifically for virtual reality (VR) and augmented reality (AR), but also traditional personal computers and laptops.
When a lot of sources say “the Metaverse,” they are often referring to the recently released ambitious business rebranding of the company Meta, previously known as Facebook. On October 28, 2021, Facebook announced that they would be renaming and refocusing their brand, with a newfound interest towards building a metaverse (thus, the name, Meta) based on AR and VR. Meta aims to bring people closer together in an online setting, enabling them to be connected in ways they couldn’t be before.

The metaverse would allow you to immerse in the experience of the internet in 3D, beyond just using it from afar on a 2D screen.

Source: seekingalpha

The soon future

The very basis of a metaverse is to enhance human contact. As we evolve more and more into a species more technologically advanced than ever before, it is imminent for us to pay heed to who we are connected to: the world and the people around us. Meta encapsulates this concept perfectly.

Imagine an educational metaverse where you take your classes from home, but see and interact with your instructor as if you were there with them in reality. Imagine attending a meeting from the comfort of your couch, where you don’t dress up, but your avatar does and you’re seated at a virtual table with other people whose reactions and body language you can gauge just as well as you would in real life. A metaverse could very likely bring these imaginations to reality, and soon.

If you’re wondering what else metaverses bring to the table, the answer is a lot. With the rise of non-fungible tokens (NFTs), a metaverse brings forth a new form of advertisement for brands. Since it allows trading lands, purchasing properties and exhibiting the company’s brand with posters or logos, it can possibly prove to be a good method to not only spark but to renew customer interest.
 
With AR and VR already as advanced as they are, and a lot of funding which these tech giants already have, there are almost no creative limits to this vision. Technical limitations, however, and possible shortcomings, are not things the Metaverse is immune to.

Even Facebook change theri name

Facebook’s recent rebranding to Meta has now caught the attention of billions of users. The question that is being asked around is what exactly is the metaverse? Will it be a mere complement to our reality like AR? Will it be an external space that people will enter? How is it connected to the real world? These questions need to be addressed before we take a dive into the various metaverses that exist.

In this article, we’ll take a look at what metaverses are (and more importantly what they are not), why they matter, and then explore some of the most popular metaverses that exist today.

 

What Is the meaning of Metaverse?

A metaverse is just a wide spread of advanced space where clients can collaborate with one another continuously and get comparative encounters to what they experience in reality, and generally speaking even more. This meaning of the metaverse features a significant point – the way that it is a wide territory of a computerized domain that can be supposed to be proceeding with the domain of “this present reality”. The main justification for why we put this present reality in twofold statements is that it is theoretically difficult to recognize what the metaverse is and what the “non-metaverse” is. This is the place where its center elements come in.

A Metaverse Is Interoperable

This is naturally a dubious highlight make. Assuming we say that the metaverse is just our very own expansion reality, then, at that point, how might we characterize its interoperability? What’s more on the off chance that there is a requirement for interoperability, it implies that few different metaverses exist in siloes, correct?
This is valid. Yet, when we say that the metaverse is interoperable, it implies that anything skin I decide for my personality in a specific origination of metaverse can likewise be ported effectively over to one more origination that is being executed by a different element.

A critical highlight note here is that few unique elements can lay out their own metaverse. For example, Meta can make a social space for its clients or Microsoft can make a devoted collaborating metaverse. The overall thought continues as before, while the execution is unique.

Since we have talked about what metaverse theoretically is, we should take a gander at the absolute most well known metaverses that exist today.

Meta

Meta is one of the latest (and much discussed) metaverses in this present reality. Considering that a stage like Facebook chose to jump into this advanced domain is emblematic of the way that Mark Zuckerberg is centered around making progressive spaces where individuals can associate with one another.

Not at all like Facebook, Meta will offer virtual encounters to clients where they will all meet up to share encounters. While the endeavor is exemplary, pundits have featured the reality their rendition of the metaverse will be more similar to a different world than being a continuum of the current one. This is on the grounds that to get to it, clients should wear outside gadgets (which again are being created by the organization).

How it functions, what it will resemble, and the degree to which the encounters will be accessible to clients is still to be found.

Our conclusion

While it would have been difficult to envision such a space not heavily influenced by anybody, blockchain makes that conceivable. Once more, just to feature the meaning of metaverse – it’s anything but a secluded space (or spaces) that are constrained by various specialists. In an optimal world, every one of the various executions of these metaverses will be spanned with one another, making the experience consistent for the clients.