Reddit พิสูจน์แล้ว ทำ NFT ให้ปังด้วยการไม่เอ่ยถึง NFT!

Reddit อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการแนะนำโลก Blockchain ให้แก่ผู้คนหมู่มากได้รู้จัก คือการเลี่ยงไม่พูดถึงสิ่งที่ซับซ้อนในเรื่อง Cryptocurrency และ NFT

ก่อนหน้านี้ Reddit ได้วางจำหน่าย Collectible Avatars โดย Reddit ได้ตั้งใจเลี่ยงการใช้คำเฉพาะในวงการ Blockchain เช่นคำว่า crypto และ NFT ในบทความแนะนำตัว Collectible Avatars ของพวกเขา

ผลจากการที่ Reddit เปิดตัวตลาด NFT ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม Pali Bhat CPO ของ Reddit กล่าวว่าผู้ใช้งาน Reddit ได้สร้างกระเป๋าเงิน Crypto กว่า 3 ล้านกระเป๋าซึ่งนี่เป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนกระเป๋าเงินที่ active บน OpenSea ซึ่งมีประมาณ 2.3 ล้านกระเป๋า จากจำนวนนี้จึงบอกได้ว่าการตลาดแบบนี้ของ Reddit อาจช่วยดึงดูดให้ผู้คนซื้อ NFT ครั้งแรก

Reddit ใช้วิธีง่าย ๆ ในการอธิบายถึงตัว Avatar ดิจิตอลและอธิบายว่าจะสามารถเป็นเจ้าของและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างไรโดยใช้การอธิบายที่ง่าย NFT ของ Reddit นี้ได้ทำเงินกว่า 6.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐจากการวิเคราะห์ของ Dune

Reddit อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถซื้อ Avatar ได้ด้วยเงินตราปกติแทนที่จะเป็นเงิน crypto

“Reddit นั้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า Collectible Avatar คือการแนะนำผู้คนสู่ NFT และ cryptocurrency ที่ง่ายต่อการเข้าใจและสนุก” Barney Chambers ผู้ร่วมก่อตั้ง Umbria Network กล่าว และเขาเห็นด้วยที่กลยุทธ์ของ Reddit ที่หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์เฉพาะในวงการ crypto ได้สร้างผลกำไรได้จริง

ผู้ใช้ Reddit จำนวนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นในแพลตฟอร์ม Reddit ว่าการซื้อ Avatar เหล่านี้เป็นการซื้อ NFT ครั้งแรกของพวกเขา

Reddit ได้สร้าง Avatar ที่เป็นทั้งแบบ Limited Edition และแบบที่สามารถซื้อขายได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ The Creator Collection ที่สร้างโดย creator หลายท่าน ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อและขาย Avatar ได้เป็น NFT บน blockchain Polygon

นอกจากนี้ Reddit ยังได้สร้างกระเป๋าเงิน crypto เรียกว่า Vault ซึ่งทั้งหมดนี้กลยุทธ์การขาย Avatar ของ Reddit ได้สร้างปรากฎการณ์บน blockchain Polygon ในช่วงนี้เลยทีเดียว

ที่มา : the block

credit photo by : the block

ยังไม่ระบุตำแหน่ง

ผู้ร่วมก่อตั้ง CryptoKities และ Dapper Labs เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ Hollywood WME

Mack Flavelle ผู้ร่วมก่อตั้ง CryptoKitties และ Dapper Labs ได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ WME แห่ง Hollyword

Flavelle ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการ NFT ที่เป็นผู้สร้างกระแส NFT ให้มีชื่อเสียงขึ้นในสมัยที่เขาสร้าง CryptoKitties ที่เป็นซีรี่ย์ของ NFT ที่ให้ผู้คนได้ซื้อ ขยายพันธุ์ และขายตัวการ์ตูนแมว เป็นซีรี่ย์ที่มีมาอย่างยาวนาวภายใต้ blockchain Ethereum ซึ่งเปิดตัวในปี 2017

WME เป็นหนึ่งในเอเจนซี่หาคนที่ทรงพลังที่สุดในอุตสาหกรรมการแสดง หนึ่งในนักแสดงจาก Hollywood ที่คัดสรรโดย WME เช่น Dwayne “The Rock” Johnson และ Charlize Theron หรือศิลปินดนตรีอย่าง Meek Mill และ Alicia Keys

[Mack Flavelle, courtesy of WME]

การเซ็นสัญญากับเอเจนซี่นั้นหมายถึง Flavelle จะเป็นตัวแทนของเอเจนซี่ บริษัทแม่ของเอเจนซี่นี้คือ Endeavor เป็นเจ้าของ UFC ที่เป็นบริษัทจัดการแข่งขันขี่วัวกระทิงแบบมืออาชีพ และจัดงานแฟชั่นโชว์ซึ่งหมายความว่าเป็นบริษัทที่ทำงานกับลูกค้าที่เป็นคนมีชื่อเสียงมากมายนั่นเอง

ดูเหมือนว่าการลดมูลค่าของ NFT ต่าง ๆ จะไม่ได้ส่งผลกับการให้ความสนใจของธุรกิจด้านนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ WME ได้เซ็นสัญญากับ Bright Moments และ Boss Beauties รวมถึง Escapeplan ที่เป็นคู่ DJ ดูโอของ Bored Ape Yacht Club และ Pixel Vault ที่เป็นบริษัทสื่อ web3 ที่ลงทุนกว่า 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในต้นปีนี้

ส่วน Dapper Labs บริษัทจากรัฐ Vancouver เป็นผู้ผลิต NBA Top Shot คอลเลคชั่น NFT ในปี 2020 และ Flavelle เป็นผู้ก่อตั้งและเป็น CEO ของ Big Head Club ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการสตูดิโอ NFT ครบวงจรที่ซึ่งผลิตผลงานคอลเลคชั่นที่มีชื่อเสียง เช่น Stoner Cats และ Germinations โดยศิลปิน Jim Carrey

 

ที่มา : the block

credit photo by : the block

ยังไม่ระบุตำแหน่ง

Meta ร่วมมือ Microsoft นำเกมและแอปสู่แพลตฟอร์ม Quest

เมตา ประกาศตัวเป็นพันธมิตรร่วมกับไมโครซอฟท์ โดยฝ่ายหลังจะรับหน้าที่พัฒนาแอปพลิเคชันจำนวนมากลงสู่แพลตฟอร์ม Quest ของเมตา

ที่งาน Meta Connect ซึ่งจัดขึ้นในช่วงดึกของวันที่ 11 ตุลาคมตามเวลาประเทศไทย เมตา ประกาศเป็นพันธมิตรร่วมกับไมโครซอฟท์ โดยยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ จะรับหน้าที่พัฒนาแอปพลิเคชันไม่ว่าจะเป็น Microsoft Teams, Xbox Cloud Gaming และอื่นๆ อีกมากมายลงสู่แพลตฟอร์ม Quest ของเมตา

สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ทีมงานของไมโครซอฟท์ จะทำงานร่วมกับเมตา ในการผสานนำเอาแอปพลิเคชันจากไมโครซอฟท์ ลงสู่แพลตฟอร์ม Quest

ซีอีโอไมโครซอฟท์ กล่าวต่อไปว่า ไมโครซอฟท์ต้องการนำเอาประสบการณ์การประชุมที่สมจริงของ Microsoft Teams มาสู่ Meta Quest เพื่อให้ผู้คนได้มีวิถีใหม่ๆ ในการเชื่อมต่อถึงกัน

พร้อมกันนี้ จากความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์และเมตา และการใช้งานผ่าน Microsoft Teams คุณก็จะได้ทั้งการเชื่อมต่อ แบ่งปัน และทำงานร่วมกัน ราวกับว่ากำลังอยู่ด้วยกันแบบเห็นหน้าค่าตา

ในส่วนการใช้งาน Microsoft 365 สัตยา นาเดลลา กล่าวในตอนท้ายว่า การมาของ Microsoft 365 บนแพลตฟอร์ม Quest นั่นหมายความว่า ผู้ใช้งานสามารถตอบโต้ (Interact) กับแอปพลิเคชันอย่าง Words, Excel, Powerpoint และ Outlook ได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าแอปเหล่านี้ อาจยังไม่ใช่แอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Quest โดยเฉพาะ แต่อยู่ในรูปแบบของเว็บแอป (Web Apps)

นอกจากนี้ สัตยา กล่าวเสริมด้วยว่า ไมโครซอฟท์กำลังคิดและหาแนวทางที่จะนำความสามารถของ Microsoft 365 และ Windows 365 มาลงสู่พื้นที่สามมิติ (3D) เพื่อช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน, ความคิดสร้างสรรค์, การสื่อสาร และการทำงานร่วมกัน ในรูปแบบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

ในด้านการทำงานร่วมกับครั้งนี้ของเมตาและไมโครซอฟท์ ได้เกิดคำถามขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ถึงที่สุดแล้ว ไมโครซอฟท์ได้ยกเลิกแนวทางการพัฒนา HoloLens ไปแล้วหรือไม่ โดยในช่วงที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ปฏิเสธข่าวนี้ แต่ในเวลาไม่นาน อเล็กซ์ คิปแมน ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลโครงการ HoloLens ลาออกจากบริษัทไป หลังตกเป็นข่าวว่ามีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม

สำหรับไมโครซอฟท์ ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้ความสนใจเมตาเวิร์ส เพียงแต่แนวทางของไมโครซอฟท์ที่มีต่อโลกเสมือนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนัก แม้จะมีแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Mesh เปิดตัวออกมาแล้วก็ตาม

ที่มา : techcrunch

credit photo by :  Meta

credit Youtube : CNET Highlights

ยังไม่ระบุตำแหน่ง